เกี่ยวกับเอกสาร
ธนาคารพัฒนาเอเชียได้เผยแพร่รายงานเชิงสรุปลำดับที่ 332 เรื่อง ผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจเอเชีย ศึกษาวิเคราะห์โดยใช้แบบจำลอง Global Trade Analysis Project (GTAP) ซึ่งเป็นแบบจำลองดุลภาพทั่วไปที่นิยมใช้วิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การศึกษานี้ได้พิจารณาสถานการณ์ซึ่งประกอบด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ และการตอบโต้ด้วยมาตรการการขึ้นภาษีศุลกากรจากคู่ค้าของสหรัฐฯ
สถานการณ์การศึกษาประกอบด้วย (1) การขึ้นภาษีศุลกากรฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ ในอัตรา 10%-20% กับทุกประเทศ และขึ้นภาษีศุลกากร 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน (2) การตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีจากประเทศคู่ค้าในอัตราเดียวกันกับที่สหรัฐฯ ปรับขึ้น โดยกลุ่มประเทศที่วิเคราะห์ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย เวียดนาม และประเทศในกลุ่มอาเซียนอื่น ๆ รวมถึงกลุ่มคู่ค้าอื่น เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา และเม็กซิโก
เป้าหมายสำคัญของนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ คือ การลดการขาดดุลการค้า โดยการลดการนำเข้าเพื่อให้ดุลการค้าของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น แต่นโยบายดังกล่าวได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อคู่ค้าในภูมิภาคเอเชีย ผลการศึกษาพบว่า การเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูง 60% อาจทำให้ดุลการค้าของจีนที่ได้รับจากสหรัฐฯ ลดลงถึง 24% ในช่วงปี 2025-2028 ส่วนประเทศอื่นในเอเชียพบว่าอาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากการลดลงของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ทั้งนี้หลายประเทศสามารถบรรเทาผลกระทบได้โดยการเปลี่ยนตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น เช่น ประเทศในยุโรปและแคนาดา กรณีของไทยพบว่า ผลกระทบต่อดุลการค้าของไทยในภาพรวมค่อนข้างน้อย แต่ยังขึ้นอยู่กับอัตราภาษีและการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ด้วย
ผลกระทบต่อรายได้ที่เป็นตัวเงิน (Nominal Income) ผลการศึกษาพบว่า รายได้ที่เป็นตัวเงินของสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นระยะแรกจากการจัดเก็บภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในสถานการณ์ที่มีการตอบโต้ด้วยภาษีจากประเทศคู่ค้า รายได้ของสหรัฐฯ อาจลดลงถึง 6% รายงานนี้ชี้ให้เห็นว่าการขี้นภาษีศุลกากรส่งผลให้รายได้จากภาษีของรัฐบาลเพิ่มขึ้นในระยะแรก แต่การลดลงของการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้จากการผลิตจะลดประโยชน์ด้านรายได้ที่รัฐบาลได้รับ
กรณีจีนพบว่า รายได้ที่เป็นตัวเงินลดลงทุกสถานการณ์เนื่องจากการลดลงของกิจกรรมการผลิต ส่วนไทยและเวียดนามอาจเผชิญกับรายได้ที่ลดลงในกรณีที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีเพียงฝ่ายเดียว แต่สถานการณ์อาจดีขึ้นหากมีการปรับเปลี่ยนตลาดการค้าและตอบโต้ด้วยภาษีที่เหมาะสม
ผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะลดลงในทุกสถานการณ์โดยเฉพาะกรณีที่มีการตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีศุลกากรจากคู่ค้า ส่วนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนลดลงเล็กน้อยอยู่ในระดับที่จัดการได้เพราะจีนสามารถเปลี่ยนตลาดการค้ากับประเทศอื่นได้
ส่วนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้รับผลกระทบในระดับต่ำกว่าเนื่องจากสามารถเปลี่ยนเส้นทางการค้าและได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเมื่อสหรัฐฯ ขยายการขึ้นภาษีศุลกากรไปยังคู่ค้าจำนวนมากและเมื่อเกิดการตอบโต้ด้วยภาษีจากทั่วโลก โดยเศรษฐกิจโลกอาจลดลงถึง 0.37% ในช่วงปี 2025-2028 เนื่องจากการค้าโลกจะชะลอตัวลงจากการเพิ่มต้นทุนการค้าและลดความต้องการนำเข้าสินค้า
รายงานฉบันนี้เน้นถึงความจำเป็นประเทศในเอเชียต้องปรับตัวและสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ โดยการพัฒนาข้อตกลงการค้าเสรีและขยายการลงทุนระหว่างประเทศ การเปลี่ยนตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น เช่น สหภาพยุโรปและประเทศในแอฟริกาเพื่อลดผลกระทบเชิงลบ รวมทั้งควรมีนโยบายการค้าที่ยืดหยุ่น มุ่งลดต้นทุนการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการค้าและเพิ่มอัตราการใช้ข้อตกลงการค้าเสรีเพื่อช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเอเชีย
ผู้เขียน
วิมล ปั้นคง
รองผู้อำนวยการ (วิชาการ)
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)
www.itd.or.th
ตีพิมพ์ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Section : First Section/World Beat
ปีที่ 38 ฉบับที่ 12821 วันพุธที่ 22 มกราคม 2568
หน้า 8 (ซ้าย) คอลัมน์ “Asean Insight”