เกี่ยวกับเอกสาร
สถานการณ์หมอกควันมีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายปี จนเราเห็นภาพหมอกหนาเสมือนอยู่เมืองหนาว แต่คงไม่มีใครกล้าสูดหายใจเพราะต่างรู้กันดีว่าแฝงไปด้วย PM 2.5 ในระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยข้อมูลจาก State of Global Air ระบุว่าในปี 64 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการตายจาก PM 2.5 มากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ที่มีจีนและอินเดียซึ่งครองอันดับ 1 และ 2 ของประเทศที่มีจำนวนการตายจาก PM 2.5 มากที่สุด
ขณะที่ในอาเซียน อินโดนีเซียมีการตายจาก PM 2.5 สูงสุด 129,300 ราย รองลงมาคือ ไทย 53,400 ราย ฟิลิปปินส์ 43,200 ราย เวียดนาม 41,500 ราย และเมียนมา 31,200 ราย
แม้อาเซียนจะมีกลไกความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังหมอกควันข้ามพรมแดนที่เกิดจากการเผาและไฟป่า รวมถึงบรรเทาปัญหานี้ผ่านการดำเนินการในประเทศและความร่วมมือภายในประเทศและระหว่างภูมิภาค แต่ปัญหาหมอกควันที่ยังคงรุนแรงสะท้อนให้เห็นว่าอาเซียนต้องการการแก้ไขปัญหาที่เข้มข้น จริงจัง และเป็นรูปธรรมมากกว่านี้
ในช่วงปลายหน้าหนาวถึงต้นหน้าร้อน ไทยมักมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 เนื่องจากลมสงบและการถ่ายเทอากาศไม่ดี ซึ่งต้นตอของ PM 2.5 มาจากการเผาพื้นที่เกษตรและไฟป่า รวมถึงการเผาและควันจากรถยนต์ การผลิตไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการเผาป่าที่เป็นการเผาซ้ำซากเพื่อทำให้ป่าเสื่อมโทรมและบุกรุกป่า
หนึ่งในต้นตอปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของไทยคือ หมอกควันข้ามพรมแดนที่ถูกกระแสลมพัดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมาและสปป.ลาว ซึ่งข้อมูลจาก ASEAN Specialised Meteorological Centre ระบุว่าตลอด 10 ปีมานี้พบจุดความร้อนมากที่สุดในอาเซียน สลับกันเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามมาด้วยกัมพูชาเป็นอันดับ 3
แต่แทนที่เราจะชี้หน้ากล่าวหาประเทศเพื่อนบ้าน ไทยเองกลับเผาหนักเพิ่มขึ้นในภาคเกษตร โดยข้อมูลจากรายงานของ สสส. เทียบปี 67 กับ 66 ในช่วง 1 ม.ค.- 31 พ.ค. ไทยมีการเผาเพิ่มขึ้นถึง 73.15% โดยเผาข้าวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน 295.84% ข้าวโพด 281.69% และพื้นที่เกษตรอื่น ๆ เผาเพิ่ม 390.27% แต่ข่าวดีคือจากปี 66 ที่ไทยเผชิญไฟป่าร้ายแรง ในปี 67 ไทยมีการเผาลดลงถึง 54.02%
PM 2.5 ต้องได้รับการแก้ไขเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงในลักษณะภัยพิบัติ แต่ในระหว่างที่ปัญหา PM 2.5 ยังคงร้ายแรง มาตรการรับมือนอกจากลดการเผา ยังมีมาตรการรับมือเฉพาะหน้าอย่างการ Work from Home เพื่อลดมลพิษจากการเดินทางซึ่งมีการใช้มาตรการนี้เป็นช่วง ๆ ในไทยและประเทศในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย รวมถึงมาตรการรถไฟฟ้าฟรีของไทยที่ทำให้คนแห่กันใช้บริการ
แม้ว่าผลของการ Work from Home และลดการเดินทางจะเป็นที่ถกเถียงว่าช่วยลด PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เนื่องจากต้นตอของ PM 2.5 ไม่ได้มาจากการขนส่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเผา โรงงาน การผลิตไฟฟ้า และหมอกควันจากจังหวัดอื่นหรือประเทศอื่นพัดพาเข้ามาด้วย อย่างน้อยการ Work from Home ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนได้
แต่ในสถานการณ์ที่ PM 2.5 ยังรุนแรงขึ้นทุกปี และดูท่าว่าจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในเร็ววัน แทนที่จะสร้างความตระหนักและมีมาตรการการลดผลกระทบต่อสุขภาพที่จริงจัง แต่หลายองค์กรก็ยังให้ลูกจ้างที่ไม่มีหน้าที่จำเป็นเดินทางออกจากบ้านมาทำงานตามปกติเพื่อเป็นเครื่องฟอกอากาศชีวภาพท่ามกลางสภาพอากาศในระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพอยู่ดี จนทำให้เกิดคำถามว่า…หรือเราจะไม่แก่ตาย?
ผู้เขียน
ภัชชา ธำรงอาจริยกุล
นักวิจัยอาวุโส
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)
www.itd.or.th
ตีพิมพ์ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Section : First Section/World Beat
ปีที่ 38 ฉบับที่ 12841 วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568
หน้า 8 (ซ้าย) คอลัมน์ “Asean Insight”