เกี่ยวกับเอกสาร
ปัจจุบันอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามภัยพิบัติทางธรรมชาติมีบทบาทสำคัญในการชะลอการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ ด้วยเหตุนี้ความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติและการพัฒนาสาธารณูปโภคที่สามารถทนทานต่อวิกฤตการณ์ต่าง ๆ จึงเป็นหัวใจสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างยั่งยืน
ภูมิภาคอาเซียนได้ประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุทกภัย พายุไต้ฝุ่น และภัยแล้ง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่อุปทานของประเทศสมาชิก ข้อมูลจากรายงานของอาเซียนคาดการณ์ว่ากว่า 50% ของประชากรอาเซียนหรือมากกว่า 300 ล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อพายุไซโคลน
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น อุทกภัย ส่งผลกระทบต่อประชากรในอาเซียน 13% และส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมถึงสินทรัพย์ทางกายภาพมากกว่า 926 พันล้านเหรียญสหรัฐ การบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติเหล่านี้จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การยกระดับความสามารถในการรองรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนจำเป็นต้องพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่อุปทานที่สามารถดูดซับ ปรับตัวและฟื้นตัวจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น ระบบไฟฟ้าที่เชื่อมโยงกับระบบน้ำสะอาด การสื่อสารโทรคมนาคม และระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่มีต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้
ประเทศสมาชิกบางประเทศ เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ได้พัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและระบบการเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ส่วนประเทศอื่นยังขาดทรัพยากรในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
อาเซียนมีความตกลงและกรอบการทำงานหลายฉบับที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการบริหารจัดการความเสี่ยง เช่น ความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน แผนงานอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาภูมิคุ้มกันต่อภัยพิบัติ
เพื่อให้ประเทศสมาชิกเตรียมความพร้อมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาเซียนควรดำเนินนโยบายและมาตรการดังนี้
1. การพัฒนาระบบข้อมูลการบริหารความเสี่ยง โดยสร้างกรอบการทำงานที่เน้นการใช้ข้อมูลและการตัดสินใจที่แม่นยำในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจของผู้บริหารที่รับผิดชอบต่อโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
2. การมีแผนที่เพื่อการประเมินความเสี่ยง ประเทศสมาชิกอาเซียนควรพัฒนาเครื่องมือแผนที่ซึ่งสามารถแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสภาพความเสียหายและความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อช่วยในการตัดสินใจและวางแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว
3. การเสริมสร้างทักษะและการแบ่งปันข้อมูล ประเทศสมาชิกอาเซียนควรเน้นการพัฒนาศักยภาพในการบริหารจัดการทรัพยากร รวมถึงการสร้างเครือข่ายการแบ่งปันข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สำหรับประเทศไทย การมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ได้อย่างรวดเร็วร่วมกับอาเซียนจะเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค นอกจากนี้การแบ่งปันความรู้และเทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำและพลังงานจากประเทศในอาเซียน เช่น การใช้พลังงานทดแทนและระบบการจัดการน้ำที่ทันสมัย ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในตลาดโลกและสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
การพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียนจำเป็นต้องพิจารณาความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถตอบสนองและฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์ได้อย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาค แต่ยังเป็นการสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบเศรษฐกิจของอาเซียนในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ผู้เขียน
น้ำผึ้ง ทัศนัยพิทักษ์กุล
นักวิจัยอาวุโส
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)
www.itd.or.th
ตีพิมพ์ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Section : First Section/World Beat
ปีที่ 37 ฉบับที่ 12741 วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2567
หน้า 8 (ล่างซ้าย) คอลัมน์ “Asean Insight”